
- 18 มกราคม 2025
- by Sataya Boonchaleaw
- บทความกินสบายใจ
ก้าวแรก สื่อ...สร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
มูลนิธิสื่อสร้างสุข เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสื่อ ที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบัน เป็นองค์กรในการผลักดันงานด้านเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งนางสาวคนึงนุช วงศ์เย็น ผู้รับผิดชอบงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เล่าให้ฟังว่า เธอได้มีโอกาสไปถ่ายทำสารคดีคนคุณธรรม ข้าวคุณธรรมที่จังหวัดยโสธร ในปี 2553 ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวนาจังหวัดยโสธร ที่มีความภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ อยากมาทำงานด้านความมั่นคงทางอาหารผ่านการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
แต่ด้วยลักษณะของงานและรูปแบบองค์กรที่ทำอยู่ ณ ตอนนั้นเป็นงานด้านการสื่อสาร จึงใช้สื่อรายการโทรทัศน์กินสบายใจ เป็นเครื่องมือไปเรียนรู้เรื่องราว และทำความรู้จักกับผู้คนตลอดห่วงโซ่อาหาร ได้รู้จักทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน และได้เรียนรู้ช่องว่างของปัญหาที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงร่วมกับทุกคน ทั้งระดับความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน คือมีอาหารที่ปลอดภัยกิน จากแนวคิดการเพาะปลูกแบบใหม่ที่มีความปลอดภัยจากสารเคมีทางการเกษตร และระดับการพัฒนาอาชีพของเกษตรกร คือการมีรายได้จากแปลงการผลิต นั่นก็คือ การสร้างตลาดนำการผลิต เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตของเกษตรกร การทำงานในช่วง 3 ปีแรก มีเครือข่ายทั้งรัฐและเอกชนครบทุกห่วงโซ่เข้ามาทำงานด้วยกัน เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในหลายเรื่อง และมีห้างเอกชน คือห้างสุนีย์ เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรและเครือข่ายจำหน่ายสินค้า โดยเปิดเป็นตลาดนัดสีเขียวกินสบายใจ ตลาดนัดติดแอร์แห่งแรกของจังหวัดอุบลราชธานี มีเกษตรกรเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า 20 กลุ่ม เปิดจำหน่ายนัดแรก คือวันที่ 18 มีนาคม 2558 ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

แม้การทำเกษตรกรรมจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเกษตรกร มีการพึ่งพาตนเองและระบบธรรมชาติเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีความปลอดภัย แต่เมื่อเกษตรกร ได้ยกระดับตนเองขึ้นมาเป็นผู้จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคแล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะอธิบายเรื่องคุณภาพ และมาตรฐานของสินค้ากับผู้บริโภค ปัญหาของเกษตรกรที่จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคในตลาดนัดสีเขียวในระยะแรก คือ ได้รับคำถามจากผู้ซื้อ และไม่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ตรงกัน เกิดความไม่เข้าใจกันในเรื่องกระบวนการผลิต การรับรองมาตรฐาน การดูแลพืชผักที่เพาะปลูก เพราะการรับสมัครสมาชิกเข้ามาร่วมจำหน่ายสินค้าเกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงาน เปิดโอกาสให้เกษตรกรยื่นอ้างอิงใบรับรองจากหลายหน่วยงาน หรือแม้แต่การรับรองตนเอง หรือการรับรองจากกลุ่ม ความรู้มีหลายชุด จากหลายกลุ่มคน ขณะที่ผู้บริโภค ก็เป็นผู้บริโภคที่มีความรู้ที่แตกต่างกัน ทำให้กลไกของตลาดเขียวได้มี การพูดคุยเรื่องมาตรฐานอย่างจริงจัง และนำมาสู่การยกระดับเป็นมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ PGS กินสบายใจ ซึ่งมาตรฐานนี้ มีการออกแบบให้เกิดความร่วมมือจาก 12 หน่วยงาน ในปี 2561 เริ่มต้นทำงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่การให้ความรู้เกษตรกร การตรวจรับรองมาตรฐาน และพัฒนากลไกการตลาดเพื่อกระจายพืชผักและอาหารที่เกษตรกรผลิตได้ไปสู่ผู้บริโภคร่วมกัน เรียกได้ว่ามีบทบาทในการคิดวางแผน และขับเคลื่อนให้ครบตลอดห่วงโซ่อาหาร โดยมีพื้นที่ ตลาดเขียว เป็นห้องเรียนสำหรับทุกคนเริ่มต้นจากเรื่องคุณภาพมาตรฐาน จนถึงการออกแบบระบบอาหารที่มีความมั่นคงและยั่งยืนด้วยกัน


นอกจากความไม่ปลอดภัยของอาหารจากพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตร ที่ต้องแก้ด้วยการผลิตแบบการทำเกษตรอินทรีย์แล้ว ความมั่นคงทางอาหารยังถูกท้าทายจากวิกฤติปัญหาใหม่ นั่นคือภัยพิบัติจากความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า มีการเก็บข้อมูลอุณหภูมิของโลกระหว่างปี ปี 1880 ถึงปี 2020 พบว่าสถานการณ์อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.02 องศาเซลเซียส เป็นสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ในประเทศไทย ศูนย์ยุทธศาสตร์การวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มีข้อมูลการตรวจวัดที่ผิวพื้นและในบรรยากาศจากสถานีอุตุนิยมวิทยาทั่วประเทศ บ่งชี้ว่าอุณหภูมิในประเทศไทยในรอบ 55 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2498 – 2552) เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ โดยค่าเฉลี่ยรายปีของอุณหภูมิสูงสุด อุณหภูมิเฉลี่ย และอุณหภูมิต่ำสุด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.86 0.95 และ 1.45 องศาเซลเซียส
ขณะที่ภูมินิเวศน์ของพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำทุกสาขาไหลมารวมกัน ตั้งแต่แม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำสาขาย่อยหลายสาขา เช่น ลำเซบาย ลำเซบก ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย จึงมักประสบปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่และถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ภัยพิบัติของเมืองอุบลราชธานี เช่น เมื่อปี พ.ศ. 2481,ปี พ.ศ. 2521,ปี พ.ศ. 2543, ปี พ.ศ. 2544, ปี พ.ศ. 2554,ปี 2562 และล่าสุด ปี 2565 เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 44 ปี ได้ส่งผลเสียหายและกระทบต่อประชาชนในทุกอาชีพ จะเห็นว่าระยะเวลาของการเกิดภัยพิบัติจากอดีตที่ห่างกันถึง 40ปี ถึงปัจจุบันมีระยะเวลาห่างกันแค่ 3 ปี นั่นหมายถึง ภัยพิบัติมีความถี่มากขึ้น และรุนแรงมากขึ้น เกษตรกรไม่มีโอกาสในการฟื้นฟูแปลงเกษตรเพื่อให้พืชพรรณได้เติบโตเป็นอาหารได้ ขณะเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม เกษตรกรอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ขาดอาหาร ขาดข้าวในการบริโภค รวมถึงขาดเมล็ดพันธุ์ในการทำการผลิตในฤดูกาลต่อไป แม้เครือข่ายภาคประชาชนได้ระดมพลังเพื่อฟื้นฟู เยียวยาเกษตรกร โดยรวมกันจัดงานผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ช่วยน้ำท่วมอุบลฯ และได้มอบเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรผู้ประสบภัยเพื่อเพาะปลูกหลังน้ำลดไว้บริโภคในครัวเรือน แต่สามารถส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หลังน้ำลดเกษตรกรประสบปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น ศัตรูพืช โรคพืชและแมลงมากขึ้นทำให้ผลผลิตเสียหาย วางแผนเพาะปลูกยากขึ้น ส่งผลกระทบต่อปัญหาความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ของเกษตรกรโดยตรง


นางสาวพรรณี เสมอภาค ที่ปรึกษาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์กินสบายใจ กล่าวว่ามีงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า ในจังหวัดอุบลราชธานีมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างปี 2563-2572 ประมาณ 1.47 องศาเซลเซียส ทำให้ผลผลิตลดลงถึง 11 เปอร์เซ็นต์ แมลงและศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงฐานทรัพยากรอาหารในท้องถิ่นและความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ รายได้และอาชีพของเกษตรกร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สูงขึ้นถึง 1.47 องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น มีการเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงอย่างรุนแรงและเกิดขึ้นถี่มากขึ้น
“ปี 2562 เรานั่งวัดอุณหภูมิ นั่งวัดปริมาณน้ำฝน แป๊บเดียวตอนเช้าคือ 29 องศาเซลเซียส ตอนบ่ายอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศาเซลเซียสแล้ว อย่างนี้พืชน็อคภายในข้ามวันเลย หรือผลผลิตรสชาติเสียหาย คุณภาพเสียหาย ท่วมกับแล้งจะสลับกันอย่างกับตีกลอง พูดได้คำเดียวว่า ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น คำนวณไม่ได้มากขึ้น” นางสาวพรรณีกล่าวทิ้งท้าย
พลังระบบอาหารรับมือกับทุกภาวะวิกฤติ
การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และการรับรองมาตรฐาน เพื่อรับมือกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ มีการเพิ่มข้อกำหนด 8 ข้อควรชวนทำในมาตรฐาน PGS กินสบายใจ เพื่อเชิญชวนให้เกษตรกรเห็นความสำคัญในการปรับระบบการผลิตของตนเอง ให้สามารถรับมือกับปัญหาได้ ซึ่งเดิมได้เริ่มต้นจากการให้ความรู้ความเข้าใจในระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืนไม่ใช่สารเคมีในการผลิต แต่ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ จำเป็นต้องเติมความรู้การปรับตัว รับมือการกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศให้แก่เกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งประกอบไปด้วย การประเมินความเสี่ยงด้วยการมีข้อมูลสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน เพื่อให้เกษตรกรนำมาวางแผนการผลิต การลดและป้องกันความเสี่ยงด้วยการการออกแบบแปลงให้สามารถรองรับการผลิตที่ความหลากหลาย การปรับปรุงบำรุงดิน ให้การผลิตพืชพรรณแข็งแรง การลดต้นทุนด้วยการหมุนเวียนปัจจัยการผลิตภายในฟาร์มระหว่างคน พืช สัตว์ การอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์พืชในท้องถิ่นที่เหมาะสม การเพิ่มไม้ยืนต้นเพื่อเป็นไม้กันลมในแปลงผลไม้อินทรีย์ เป็นต้น รวมทั้งการกระจายความเสี่ยงด้วยระบบการผลิตแบบผสมผสาน การเพิ่มทักษะการแปรรูป การเรียนรู้ตลาดรูปใหม่ๆเพื่อเพิ่มรายได้ เพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเกษตรกร นอกจากนี้ยังต้องขยับไปชวนเพื่อนๆในกลุ่มมาทำด้วยกัน มีการรวมกลุ่มกันในชุมชนเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ให้ครบทุกห่วงโซ่ ตลอดจนเรียนรู้กองทุนเมล็ดพันธุ์เพื่อภัยพิบัติ สานพลังเครือข่ายการบริโภคที่เกื้อหนุนกัน เป็นชุมชนที่มีการผลิตและบริโภคแบบใหม่ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น

“เราทำอินทรีย์ในชุมชนคนเดียว รอบข้างยังเป็นเคมีอยู่ จุดตรงนี้ก็มีความรู้สึกว่า อยากขับเคลื่อนให้ตำบลคูเมือง เป็นตำบลของเกษตรอินทรีย์ ก็เลยเข้าไปประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง ผู้นำชุมชน และโรงเรียนอีก 5 โรงเรียนในตำบลคูเมือง มาร่วมออกแบบอาหารปลอดภัยในโรงเรียน เพื่อที่จะให้การขับเคลื่อนเป็นไปทั้งระบบ ชุมชนปลูก โรงเรียนช่วยรับซื้อ เด็กๆ ได้ทานผักปลอดภัย” อาจารย์ศรีสุดา ทองคำห่อ หรือครูจุ่ย ผู้ที่เป็นทั้งเกษตรกร และคุณครูผู้ผลักดันงานด้านเกษตรอินทรีย์ในชุมชนตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ เล่าให้ฟัง
การประกอบการสีเขียวเซฟโลก นายธวัชชัย นนทะสิงห์ เกษตรกรคนรุ่นใหม่ ที่เครือข่ายเล็งเห็นศักยภาพในการทำธุรกิจ ได้ถูกเลือกขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการตลาดของเครือข่ายกินสบายใจตั้งแต่ปี 2558 ที่มีการตั้งตลาดเขียว วิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดทุกแห่งปิดตัวลง และเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงได้ออกแบบการประกอบการสีเขียว ผ่านร้าน “กินสบายใจช็อป” ที่เป็นร้านรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรกินสบายใจและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ มาส่งต่อให้ผู้บริโภค ผ่านหน้าร้านและช่องทางออนไลน์หลายช่องทาง ได้เชิญชวนให้ผู้บริโภคทุกคนมาสนับสนุนระบบอาหารที่ยั่งยืนด้วยข้อความรณรงค์ ผ่านการรณรงค์“ซื้อเรา เซฟโลก -2 องศาเซลเซียส” ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกสนับสนุนข้าว ผัก หรืออาหารแปรรูปอินทรีย์ ที่มีส่วนในการดูแลสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ
“ตอนนี้เราก็มีการแปรรูปสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคทานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ในรูปแบบของฟาร์มทูเทเบิ้ล ทุกคนที่ทานอาหาร ทุกจานที่เกิดจากฟาร์มทูเทเบิ้ล คุณจะมีส่วนช่วยดูแลรักษาธรรมชาติ เรากำลังจะทำให้ผู้บริโภคกลายเป็น change agent คือผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงร่วมกันกับเกษตรกร” นายธวัชชัยกล่าว

นอกจากพลังระบบอาหาร ที่มีการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ตลอดห่วงโซ่อาหาร ส่งเสริมการผลิต ทำงานเรื่องคุณภาพและมาตรฐานเพื่อสร้างความร่วมมือกับผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และส่งเสริมการตลาดในหลายๆ ระดับ ได้ช่วยรับมือในภาวะวิกฤติ ทั้งวิกฤติความปลอดภัยของอาการ วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤติโควิด – 19 แล้ว ยังพบว่า พลังของการบูรณาการเครือข่ายภาครัฐ เอกชนในพื้นที่ที่นำมาสู่ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ในการสร้างระบบอาหารใหม่ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ตลอดจนพลังของการสื่อสาร ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายแนวคิด บอกต่อบทเรียน และยกระดับการทำงานของเครือข่ายกินสบายใจ ให้มีการตั้งรับปรับตัวกับภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
คนึงนุช วงศ์เย็น ผู้เขียน