18 มกราคม 2025 by Sataya Boonchaleaw ข่าวสารกินสบายใจ ศรีบุญมาฟาร์ม แปลงเกษตรอินทรีย์ที่เพาะปลูกแบบผสมผสาน รับมือโลกร้อน เครือข่ายกินสบายใจ ลงพื้นที่ พูดคุย ถอดบทเรียนการทำงานของฟาร์มเกษตรกร ศรีบุญมาฟาร์ม ซึ่งเป็น 1 ใน 50 แปลงต้นแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 6 ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นายสกลกิจ วงค์พรมมา เกษตรกรเครือข่ายกินสบายใจ กล่าวว่า ตนได้เข้าร่วม 1 ใน 50 แปลงต้นแบบที่ได้ปรับตัวรับมือกับปัญหาโลกร้อนด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 7 ไร่ แบ่งเป็น 2 ไร่สำหรับทำสวนและ 5 ไร่สำหรับทำนา โดยได้เริ่มทำเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 แม้ว่าในตอนแรก จะยังไม่มีการรับรองมาตรฐาน แต่เมื่อปี พ.ศ. 2563 ศรีบุญมาฟาร์ม ได้รับการรับรองมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ร่วมกับโครงการกินสบายใจ ซึ่งการรับรองมาตรฐาน ทำให้ผลผลิตเกษตรกรได้ส่งต่อไปยังผู้บริโภค ผ่านร้านกินสบายใจช็อป และตลาดนัดสีเขียวต่างๆ ฟาร์มแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ริมน้ำมูล ทำให้ในช่วงหน้าฝนต้องเผชิญกับน้ำท่วมทุกปี ในพื้นที่ 5 ไร่ ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ในฤดูฝน เพราะเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่เมื่อหลังน้ำลด ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ ด้วยการเพาะปลูกพืชอายุสั้น เช่น มันหวานญี่ปุ่น หรือข้าวโพด ส่วนพื้นที่ 2 ไร่ ที่เป็นพื้นที่สวนเกษตรอินทรีย์ ได้ปรับตัวรับมือกับปัญหาโลกร้อน ด้วยการเพาะปลูกพืชผสมผสานและนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดการพื้นที่ มีการปลูกพืชผักหลากหลายชนิด ในหลายระดับเต็มพื้นที่ เช่น ไม้ยืนต้น ผักยืนต้น ผักสวนครัว ซึ่งมีทั้งปลูกในพื้นที่เดียวกัน และการจัดแบ่งเป็นโซนพืชผักสวนครัวในโรงเรือนแบบเปิด และโซนผักยืนต้น โซนพืชร่วมป่าเพื่อให้เกิดการเกื้อกูลกัน และสร้างรายได้ เช่น ชะอม ผักกูด พริก ผักบุ้ง สลัด พริกไทย กล้วย โขมแก้ว และหอมแบ่ง ทำให้ฟาร์มสามารถมีผลผลิตออกสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนการปรับตัวรับมือกับสภาวะโลกร้อนของศรีบุญมาฟาร์มเริ่มจากการสร้างระบบนิเวศภายในฟาร์มที่สมดุล มีการปลูกไม้ยืนต้นหลากหลายชนิดร่วมในฟาร์ม คล้ายๆรูปแบบวนเกษตร หรือป่าในแปลงเกษตร เช่น ต้นสัก ยางนา พะยูง ทุเรียน กล้วย และปลูกพริกไทยให้เลื้อยอิงอาศัยใต้ร่มไม้ใหญ่ ส่วนพื้นดินด้านล่างก็ปลูกผักกูด ซึ่งเป็นพืชที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ได้ ทำให้ฟาร์มสามารถลดผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เพราะอุณหภูมิภายในฟาร์มจะต่ำกว่าอุณหภูมิข้างนอก และยังสามารถรักษาความชื้นในดินได้ดีด้วยการใช้หญ้า คลุมดินและระบบน้ำสปริงเกอร์ ที่ให้ความชุ่มชื้นกับพืชผักทุกชนิดในฟาร์มอีกหนึ่งรูปแบบการจัดการดิน ที่เป็นเทคนิคการคลุมดินของฟาร์ม คือ การไม่ถางหญ้าและการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือการตัดหญ้า เพื่อนำมาเป็นอาหารสัตว์ และใช้หญ้าทำปุ๋ยหมัก ตลอดจนคลุมดินห่มดิน จะช่วยให้ดินไม่ได้เผชิญกับแดดโดยตรงในฤดูแล้ง และในฤดูฝน ก็ไม่ถูกฝนชะล้าง การตัดหญ้าและปล่อยให้หญ้าเติบโต เป็นการเก็บความชื้นในดิน นำน้ำและอากาศลงหมุนเวียนในดิน ทำให้ช่วยลดอุณหภูมิภายในฟาร์มได้ด้วย นอกจากนี้ การปลูกพืชผักหลากหลายชนิด ในฟาร์มทำให้ฟาร์มมีรายได้ตลอดทั้งปี แม้ว่าอากาศจะร้อนหรือแปรปรวนตัวอย่างพืชผักที่ทนทานต่อสภาวะอากาศร้อนในฟาร์มคือ ผักกูด ซึ่งปลูกครั้งเดียวแต่สามารถ เก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี การปลูกผักกูดในที่ร่มใต้ต้นไม้ใหญ่ ช่วยให้ผักกูดเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องการการดูแลมากนัก ในพื้นที่เพียง 1 งาน ก็มีรายได้จากการเก็บผลผลิตจำหน่ายวันเว้นวัน ถึงเดือนละ 3-5,000 บาท แม้จะมีอากาศร้อน นอกจากนี้ ฟาร์มยังมีผลผลิตอื่นๆ เช่น กล้วย และพริกไทย ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวและขายเป็นต้นพันธุ์ได้ด้วย “ผลผลิตของสวนสามารถเก็บไว้ได้นาน เช่น ผักกูด เก็บได้ถึง 1 สัปดาห์ เพราะไม่ใช้สารเคมีในทุกกระบวนการผลิต ปลูกให้ผู้บริโภคทานแล้วมีความสุข มีความสบายใจ มีรายได้แล้วยังมีความภาคภูมิใจ รู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง” นายสกลกิจกล่าว ศรีบุญมาฟาร์มไม่เพียงแค่เป็นฟาร์มต้นแบบในการรับมือกับโลกร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน เป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเครือข่าย และเป็นต้นแบบของการเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ คุณสกลกิจยังแนะนำเกษตรกรทั่วไปว่า การทำเกษตรผสมผสานและการปรับตัว รับมือกับสภาวะอากาศแปรปรวนเป็นสิ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันสำหรับผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ศรีบุญมาฟาร์ม ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 084-436-0614